เปิดประวัตินายห้างใหญ่ใจบุญเมืองคอน บริจาค 30 ล้านบาท สร้างอาคารสหไทย ศูนย์รังสีรักษา โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช

13897
views
จรินทร์ ปัญจคุณาธร

เปิดประวัตินายห้างใหญ่ เศรษฐีใจบุญแห่งเมืองนครศรีธรรมราช ทราบประวัติแล้วจะไม่แปลกใจทำไมจึงบริจาค 30 ล้านบาท สร้างอาคารสหไทย ศูนย์รังสีรักษา โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช

สร้างอาคารสหไทย ศูนย์รังสีรักษา

เมื่อวันที่ 5 ม.ค.2561 ที่ผ่านมา 2 เศรษฐีใจบุญ! ผู้ประกอบการห้างดังเมืองคอน บริจาคเงินสด 30 ล้านบาท เพื่อใช้ในการ ก่อสร้างอาคารสหไทย ศูนย์รังสีรักษา ให้เป็นศูนย์แห่งแรกในภาคใต้ ที่สามารถรักษาโรคมะเร็ง ได้ครบวงจร ขณะที่ จิมมี่ ชวาลา ร่วมสมทบเงินเพิ่ม 10 ล้านบาท

นับเป็นความโชคดีของชาวเมืองนครศรีธรรมราช ที่มีเศรษฐีใจบุญสองท่านอยู่บนแผ่นดินเมืองนครและตอบแทนคุณแผ่นดินด้วยการสร้างประโยชน์สาธารณะให้แก่สังคมนครศรีธรรมราชและประเทศชาติอย่างต่อเนื่อง โดยทางประวัติของคุณจิมมี่ นั้นอาจมีสื่อนำเสนอหลายสำนักแล้ว วันนี้แอดมินจึงขอนำเสนอประวัติเกี่ยวกับคุณจรินทร์ ปัญจคุณาธร เจ้าของธุรกิจห้างสหไทย ห้างเก่าแก่ ดั้งเดิมที่ดำเนินธุรกิจคู่กับชาวนครศรีธรรมราช มายาวนานกว่า 50 ปี พูดได้เลยว่าไม่มีใครไม่รู้จักหรือไม่เคยไปห้างสหไทย

สร้างอาคารสหไทย ศูนย์รังสีรักษา

จากบทสัมภาษณ์ของคุณสมโพธิ ปัญจคุณาธร วัย 40 ปี กรรมการบริหาร หจก.สหไทยสรรพสินค้า ในฐานะรุ่นหลาน ที่ครั้งหนึ่งเคยให้สัมภาษณ์กับนักข่าวท้องถิ่น www.open.thawang.com เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2552 ถึงประวัติของคุณจรินทร์พรและการก่อตั้งห้างสหไทยว่า

จรินทร์ ปัญจคุณาธร

ประวัติผู้ก่อตั้ง ห้างสหไทยสรรพสินค้า ห้างสหไทย ก่อตั้งขึ้นโดย นายกำจิว แซ่โง้ว ผู้เป็นบิดา และนายจรินทร์ ปัญจคุณาธรลูกคนโต จากลูกทั้งหมด 10 คนเป็นชาย 6 คนและหญิง 4 คน บิดานายกำจิว แซ่โง้วและมารดา นางชิวคิ้ม แซ่เตียเป็นชาวจีน จังหวัดสัวเถา
ได้ย้ายถิ่นฐานมาทำมาหากิน ที่กรุงเทพ ประเทศไทย เมื่อ ปี พ.ศ. 2480 ในช่วงเริ่มต้นนายกำจิวทำอาชีพรับจ้างทั่วไป และนางชิวคิ้มรับเย็บปักเสื้อผ้าอยู่กับบ้านพร้อมทั้งดูแลลูกๆ ด้วย ความที่นายกำจิวเป็นคนที่อัธยาศัยดี มีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือญาติและเพื่อนฝูง จึงทำให้เป็นที่รักของหลายๆ คน จนเมื่อญาติอาวุโสคนหนึ่งที่เปิดร้านขายของชำ อยู่ที่ เขตบางรัก กรุงเทพ ต้องการเลิกกิจการเพื่อย้ายกลับไปประเทศจีน จึงเสนอให้นายกำจิว ซื้อกิจการ โดยยินดีให้ผ่อนชำระ ซึ่งร้านนี้เองเป็นจุดเริ่มต้นการทำธุรกิจค้าปลีกของตระกูลปัญจคุณาธร

ร้านนี้ ชื่อ “ง่วงไถ่พาณิชย์” เป็นร้านขายของชำ ขายสินค้าทั่วไป กิจการเป็นไปอย่างราบเรียบ ไม่ได้ทำรายได้ให้มากมายนัก เพราะบนถนนสายนี้ มีร้านค้าประเภทเดียวกันอยู่หลายร้าน และมีการแข่งขันด้านราคากันมากประกอบกับนายกำจิวมีลูกถึง 10 คน รายได้จึงไม่พอกับค่าใช้จ่ายสมาชิกในครอบครัวจึงค่อนข้างจะลำบาก บางครั้งนายกำจิว จึงจำเป็นต้องหยิบยืมเงิน หรือกู้เงินจากญาติและคนรู้จักเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว แต่เมื่อมีเงินก็จะรีบนำไปใช้คืนทุกครั้ง จึงทำให้ไม่เสียเครดิต ประกอบกับนิสัยที่เป็นคนมีน้ำใจ จึงไม่ค่อยโดนปฏิเสธเมื่อยามเดือดร้อน ด้วยความที่ครอบครัวค่อนข้างลำบาก ด.ช.จรินทร์ ในฐานะลูกคนโต จึงต้องออกจากโรงเรียนเมื่อเรียนจบ ชั้นป.4 เพื่อมาช่วยค้าขาย ทั้งๆ ที่เป็นเด็กที่เรียนดี ด.ช.จรินทร์ช่วยแบ่งเบาภาระทางบ้านได้มากทำให้นายกำจิวและนางซิวคิ้มมีโอกาสที่จะออกไปเลือกซื้อสินค้าใหม่ๆ เข้ามาจำหน่ายในร้านเพื่อสร้างรายได้ให้มากขึ้น ทำให้ฐานะทางครอบครัวดีขึ้นเป็นลำดับ และน้องๆ ก็ได้เรียนหนังสืออย่างต่อเนื่อง จนเมื่อกิจการเริ่มอยู่ตัว ด.ช. จรินทร์ ซึ่งเป็นเด็กที่ใฝ่รู้ได้ขออนุญาตบิดา-มารดา เรียนพิเศษภาษาอังกฤษช่วงเวลาเย็นเพื่อเพิ่มพูนความรู้และเป็นประโยชน์ในการทำการค้า ถึง แม้นายจรินทร์จะไม่ได้เรียนจบสูง

จรินทร์ ปัญจคุณาธร

แต่ด้วยสายเลือดและประสบการณ์ของการเป็นพ่อค้า บริการลูกค้าเรียนรู้การสนทนา และเจราจาต่อรอง ทำให้นายจรินทร์ มีความรู้ทางค้าปลีกเป็นอย่างดีและนายจรินทร์ ซึ่งเป็นเสมื่อนพ่อคนที่สองของน้องๆ อีก 9 คน ได้ถ่ายทอดประสบการณ์และความรู้เหล่านี้ให้แก่น้องๆ จึงทำให้ต่อมาน้องๆ ทุกคนประสบความสำเร็จอย่างดีในการประกอบธุรกิจ จนเมื่อ นายจรินทร์ เติบโตเป็นหนุ่ม อายุครบ 21 ปี จึงถูกเกณฑ์เป็นทหารอากาศ อยู่ 3 ปี จนเมื่อปลดประจำการมาก็ได้กลับมาช่วยบริหารกิจการที่ร้านต่อ แต่ด้วยความที่นายจรินทร์ต้องการที่จะสร้างฐานะและความมั่นคงให้กับครอบครัว ให้มากที่สุด

นายจรินทร์จึงมองหาลู่ทางเพื่อขยายกิจการ จนเมื่อสบโอกาส นายจรินทร์และนายกำจิวผู้เป็นบิดา จึงได้มาเปิดกิจการห้างสหไทยที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อนายจรินทร์ อายุ 26 ปี ต่อมาเมื่อฐานะครอบครัวเริ่มมั่นคงขึ้น นายจรินทร์จึงได้สมรสกับ นางอมรรัตน์ เมื่อปี 2512 จนถึงปัจจุบันที่สองมีลูกชายด้วยกันทั้งหมด 4 คน และทั้ง 4 คนก็ได้เข้ามาช่วยสานต่อธุรกิจของครอบครัว

ตลอดช่วงเวลาชีวิตการทำงาน ไม่เพียงแต่ นายจรินทร์ จะได้รับรางวัล ตำแหน่งมากมายทั้งทางด้านธุรกิจและสังคม อาทิ รางวัลนักธุรกิจดีเด่น ประธานชมรมค้าทองคำ รองประธานสมาคมพาณิชย์จีน รองประธานมูลนิธิไต้เต๊กตึ้ง อาสาสมัครคุมประพฤติ เป็นต้น นายจรินทร์ยังได้รับเหรียญรางวัลจากการเป็นนักวิ่งผู้รักสุขภาพ อีกมากมาย ดังนั้นนายจรินทร์จึงเป็นบุคคลที่สร้างประโยชน์ให้กับสังคม และเป็นตัวอย่างที่ดีต่อผู้ที่ต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต

ห้างสหไทยสรรพสินค้า

ความเป็นมาของ ห้างสหไทยสรรพสินค้า

ยุคเริ่มต้นกิจการ

ปี พ.ศ. 2506 นายกำจิว มีโอกาสได้มาแวะเยี่ยมเยียนญาติคนหนึ่ง ที่ทำการค้าอยู่ในจังหวัดนครศรีธรรมราช เและได้รับคำชวนให้เช่าตึกแถว 2 คูหา บนถนนราชดำเนิน ถนนสายการค้าหลักของจังหวัด นายกำจิว จึงได้ปรึกษากับ นายจรินทร์ ลูกชาย ซึ่งมีความต้องการที่จะขยายกิจการอยู่ก่อนแล้ว ก็เห็นดีด้วย จึงกู้ยืมเงินเพื่อเซ็งตึกแถวและเปิดกิจการค้าปลีก นาย กำจิว ทำหน้าที่จัดหาช่างจากกรุงเทพเข้าตกแต่งร้าน และควบคุมการแต่งร้านด้วยตนเอง ด้วยรูปแบบที่ทันสมัยและการควบคุมอย่างดี ทำให้ร้านตกแต่งออกมาอย่างสวยงามเป็นที่น่าพอใจ ส่วนนายจรินทร์ที่อยู่กรุงเทพได้ตะเวนสรรหาสินค้าเพื่อจะนำเข้ามาจำหน่ายในร้าน เมื่อทุกอย่างพร้อม ห้างสหไทยจึงได้ ฤกษ์เปิดกิจการเมื่อเดือนสิงหาคม ปี พ.ศ. 2506

ใน ช่วงเริ่มต้น กิจการห้างสหไทย ซึ่งจำหน่ายเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย และเครื่องสำอาง เป็นไปด้วยดี โดยการบริหารงานของนายจรินทร์ และมี นางเฉลิมศรี น้องสาว มาช่วยงาน เพราะหลักการค้าที่ ซื่อสัตย์ต่อลูกค้า ขายสินค้าในราคายุติธรรม มีสินค้าความหลากหลาย ตรงกับความต้องการและเป็นสินค้าที่มีคุณภาพ พร้อมทั้งรูปแบบกลยุทธ์ทางการค้าที่ทันสมัย ที่นายจรินทร์ได้นำมาใช้ อาทิ การติดป้ายโฆษณาลดราคา การแต่งตู้โชว์หน้าร้านการสอนการแต่งหน้าให้กับลูกค้า เป็นต้น แต่อุปสรรค์ในการค้าอย่างหนึ่งที่ นายจรินทร์เผชิญในยุคบุกเบิก คือ ร้านค้าอื่นที่เปิดมาก่อนเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้ายี่ห้อดังในจังหวัดอยู่แล้ว ทำให้ห้างสหไทยไม่มีสินค้ายี่ห้อดังเพื่อเป็นแรงจูงใจให้ลูกค้ามาซื้อสินค้า นายจรินทร์ จึงได้เดินทางไปกรุงเทพ เพื่อติดต่อกับ ช่างตัดเสื้อ และ ช่างตัดรองเท้า ฝีมือดี และพากันไปเลือกซื้อ วัตถุดิบ เลือกดูรูปแบบ เสื้อผ้า รองเท้า จากร้านค้าใหญ่ๆ ให้ช่างตัดเย็บตามแบบนั้นๆ และติดป้ายยี่ห้อ เมื่อนำมาจำหน่ายก็ขายดิบขายดี เพราะ รูปแบบ คุณภาพ และราคา เป็นที่พอใจของลูกค้า ต่อมาภายหลังเมื่อสินค้ายี่ห้อใหม่ๆ เพิ่มบุกเบิกเข้ามาจำหน่ายในจังหวัด ห้างสหไทยซึ่งเป็นที่ยอมรับของลูกค้าด้วยดีแล้วจึงได้เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้ายี่ห้อดังๆ หลายๆ ยี่ห้อ ในเวลาต่อมา

ด้วยความที่นายจรินทร์เป็นคนที่ขยันขันแข็ง รู้จักประหยัด อดออม นอกจากจะใช้หนี้ที่กู้ยืมมาเปิดกิจการหมดแล้ว ยังได้เริ่มเก็บเงินเพื่อมุ่งหวังที่จะขยายกิจการต่อๆ ไป จนเมื่อปี พ.ศ. 2518 สัญญาเซ็งใกล้จะหมดลง และเจ้าของอาคารพาณิชย์10 คูหา ที่ตั้งอยู่บนถนนจำเริญวิถี ไม่ห่างจากทำเลเดิมนี้นัก ประกาศให้เช่า นายจรินทร์ จึงตัดสินใจเช่า และเปิดเป็นสรรพสินค้าเต็มรูปแบบ พร้อมทั้งมีแผนก

ซุปเปอร์มาร์เก็ตโดยมีรูปแบบที่ลูกค้านำสินค้ามาชำระเงินเอง ซึ่งถือเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตแห่งแรกในภาคใต้ กิจการ เป็นไปด้วยดี แต่การแข่งขันทางการค้าก็มีมากขึ้นเช่นกัน ระหว่างนั้น น้องๆ หลายคนของนายจรินทร์ เริ่มทยอยเข้ามาช่วยกิจการหลังเรียนจบ เช่น นายประภัทร์ นายเฉลิมชัย นายชาญชัย นายอุทัย และนายรุ่งโรจน์ ซึ่งต่อมาก็ได้ขยับขยายไปเปิด ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี และ เพชรบุรี ตามลำดับ

ห้างสหไทยสรรพสินค้า

จนกระทั้งปี พ.ศ. 2530 นาย จรินทร์เล็งเห็นว่า ธุรกิจค้าปลีกจะเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง การให้บริการและความสะดวกสบายในการจับจ่ายใช้สอยเป็นสิ่งที่ลูกค้าต้องการ นายจรินทร์จึงได้ซื้อที่ดิน ที่เดิมทีเป็นโรงภาพยนตร์ และสร้างอาคารขนาด 7 ชั้น มีชั้นใต้ดิน เพื่อรองรับการแข่งขันที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยแบ่งเป็น แผนกดีพาร์ท แผนกซุปเปอร์มาร์เก็ต และมี ฟู๊ดเซ็นเตอร์ และสวนสนุก ซึ่งถือว่าเป็นอาคารสรรพสินค้าที่ทันสมัยที่สุดในสมัยนั้น ซึ่งก็ทำให้กิจการประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก หลาย ปีต่อมา เริ่มมีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่จากกรุงเทพ และธุรกิจค้าปลีกข้ามชาติ เข้ามาเปิดสาขาในจังหวัด ทำให้ห้างสหไทยต้องปรับบตัวเพื่อให้สามารถแข่งขันและอยู่รอดในธุรกิจให้ได้ โดยนายจรินทร์วางหลักและนโยบายใหม่ อาทิ อย่างแรกคือ ให้ความสำคัญกับลูกค้าที่มีรายได้น้อยมากขึ้น มีการสรรหาสินค้าที่ราคาประหยัด แต่คุณภาพดีเข้ามาจำหน่ายมากขึ้น อย่างที่สองคือบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายของกิจการ เพื่อสามารถขายสินค้าได้ในราคาที่ถูกลง อย่างที่สามคือ เพิ่มจำนวนและความหลากหลายของกิจกรรมส่งเสริมการขายให้ตรงกับความต้องการ ลูกค้าและอีกหลายๆ นโยบาย ซึ่งผลลัพธ์ทำให้กิจการยังคงดำเนินไปได้อย่างดี

จนกระทั้ง ปี พ.ศ. 2540 เกิด วิกฤตเศรษฐกิจขึ้นกับประเทศไทย กิจการมากมายปิดตัวลง บางกิจการต้องปลดพนักงานเป็นจำนวนมากเพื่อประคองธุรกิจให้อยู่ได้ มีคนว่างงานมากเป็นประวัติการณ์ ผู้คนขาดรายได้และจับจ่ายน้อยลงอย่างมาก ในขณะที่ห้างสหไทยก็เผชิญวิกฤตยอดขายลดลง แต่ด้วยการบริหารงานที่ไม่ฟุ้มเฟื้อและเกินตัว จึงทำให้ไม่มีการปลดพนักงานออกแม้แต่คนเดียว และประคับประคองจนผ่านวิกฤตมาได้

2 เศรษฐีใจบุญ!

ปัจจุบัน ห้างสหไทย ป็นที่ยอมรับทั้งจากของลูกค้า และวงการธุรกิจ โดยในแง่ของลูกค้า ห้างสหไทย เป็นที่ยอมรับว่าจำหน่ายสินค้าราคาประหยัด หลากหลาย และมีคุณภาพ ส่วนในแง่ของวงการธุรกิจ ห้างสหไทยเป็นที่ยอมรับนับถือ ที่สามารถแข่งขันและยืนหยัดอยู่ได้ท่ามกลาง ห้างขนาดใหญ่และห้างค้าปลีกข้ามชาติปัจจุบันเครือสหไทย ต้นกำเนิดมาจากสหไทย นครศรีธรรมราช และขยายสาขาไปหลายสาขาในภาคใต้ คือ
– สหไทย นครศรีธรรมราช (ถนนจำเริญวิถี)
– สหไทย เพชรบุรี
– สหไทย สุราษฎร์ธานี
– สหไทย พลาซ่า ทุ่งสง
– สหไทย พลาซ่า นครศรีธรรมราช (ถนนศรีปราชญ์)
– สหไทย การ์เด้นท์ สุราษฎร์ธานี
นอกจากนี้ยังมีห้างขนาดเล็กที่เน้นขายสินค้าราคาประหยัดอยู่ในเครือนี้ด้วย
ขอบคุณข้อมูลสัมภาษณ์จากเว็บไซร์ท่าวัง
ญาดา/ร้อยเรียง

 
ถมนคร : คุณค่าที่คู่ควร ถมนคร, thomnskhon
 
SHARE