“สนธิรัตน์” ลุยอีสานขับเคลื่อนนโยบายพลังงานเพื่อเศรษฐกิจฐานราก ถึงคิวลงพื้นที่ จ.สกลนคร เน้นโรงไฟฟ้าชุมชน น้ำมันบี10 การช่วยภัยแล้ง ย้ำทุกโครงการต้องมีความพร้อมสร้างประโยชน์ชุมชน และใช้งบอย่างมีประสิทธิภาพ
วันนี้ (14 ก.พ.63) นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวงพลังงาน เดินทางตรวจราชการที่จังหวัดสกลนคร และพื้นที่ใกล้เคียงจังหวัดนครพนม มุกดาหาร หนองคาย และอุดรธานี เพื่อมอบนโยบายพลังงานชุมชนเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้แก่พลังงานจังหวัดและหน่วยงานในสังกัดของกระทรวงพลังงาน และพลังงานจังหวัดในพื้นที่ดังกล่าวได้รายงานความก้าวหน้าของโครงการต่างๆ ด้านพลังงาน โดยมีนายมนต์สิทธิ์ ไพศาลธนวัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร สส.พรรคพลังประชารัฐ ผู้แทนจากส่วนราชการ และสื่อมวลชน เข้าร่วมรับฟัง
นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า เป็นที่น่ายินดีที่นโยบายส่งเสริมการจัดตั้งโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานรากของกระทรวงพลังงาน ได้รับความสนใจอย่างมากจากประชาชน เพราะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจฐานรากอย่างแท้จริง เนื่องจากนำจุดแข็งในชุมชนเกษตรกรรมที่มีวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น ซังข้าว ซังข้าวโพด ที่สามารถนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับโรงไฟฟ้าชุมชน ซึ่งในอดีตวัสดุเหลือใช้เหล่านี้ต้องถูกเผาทิ้งไป กลายเป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุเกิดฝุ่น PM 2.5 ซึ่งฝากให้พลังงานจังหวัดในพื้นทีช่วยคัดกรองโครงการให้ดี
ความสำคัญของการจัดตั้งโรงไฟฟ้าชุมชนจะช่วยตอบโจทย์ประชาชนทุกพื้นที่ โดยเน้นให้ประชาชน ในพื้นที่ต้องได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง มีการทำเกษตรพันธสัญญา การทำงานร่วมกันแบบประชาคมที่จริงจังยั่งยืน มีความเกื้อกูลกัน สร้างชุมชนให้เข้มแข็ง โดยมีโรงไฟฟ้าดังกล่าวช่วยประคับประครองดูแลชุมชน สร้างชุมชนให้มีความเข้มแข็ง อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ซึ่งอาจมีรูปแบบการสร้างกองทุนร่วมกันระหว่างโรงไฟฟ้ากับชุมชนเพื่อใช้ในการพัฒนาชุมชนอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
สำหรับรายละเอียดหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขคัดเลือกโครงการฯ จะมีคณะกรรมการบริหารการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานรากพิจารณาอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนงกุมภาพันธ์นี้ และคาดว่า โรงไฟฟ้าชุมชนล็อตแรกในกลุ่มควิกวิน(Quick win)จะสามารถจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบภายในสิ้นปี 2563 หลังจากนั้นโรงไฟฟ้าชุมชนในกลุ่มทั่วไป จะก่อสร้างและจ่ายไฟเข้าระบบได้ในสิ้นปี 2564
ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ยังให้ความสำคัญโครงการพลังงานที่จะช่วยแก้ปัญหาภัยแล้ง โดยต้องมีหน่วยงานที่จะดูแลรักษาสิ่งปลูกสร้างอย่างเป็นระบบเพื่อความยั่งยืนของโครงการ ย้ำเตือนความพร้อมของการจัดทำโครงการที่ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จตามสัญญา เพื่อให้โครงการที่ได้รับงบประมาณไป มีประสิทธิภาพสามารถใช้ได้จริง เป็นประโยชน์กับชุมชนและท้องถิ่น
นอกจากนี้ ในด้านการส่งเสริมไบโอดีเซลก็เป็นการใช้จุดแข็งของพืชพลังงานบนดิน คือปาล์มน้ำมันที่สามารถผลิตได้ในประเทศมาใช้ในการผลิตไบโอดีเซลเพื่อผลักดันการใช้ B10 เป็นน้ำมันดีเซลฐานของประเทศ และนโยบายนี้ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นเป็นรูปธรรมแล้วว่า ช่วยสร้างเสถียรภาพราคาให้ปาล์มน้ำมันจนราคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์
“หัวใจของนโยบายพลังงานชุมชนเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก คือ ทุกคนสามารถเข้าถึงพลังงานได้ สามารถใช้พลังงานไปหมุนเศรษฐกิจในชุมชนผ่านโครงการต่างๆ ด้านพลังงาน เช่น โครงการโรงไฟฟ้าชุมชน การส่งเสริมไบโอดีเซล ส่งเสริม B10 เป็นน้ำมันดีเซลพื้นฐานในภาคขนส่ง และเตรียมสนับสนุนใช้พืชพลังงานในกลุ่มเบนซิน ได้แก่ มันสำปะหลัง อ้อย เพื่อผลักดันให้เกิดการนำไปใช้ผสมในน้ำมันเบนซินเพื่อให้ E20 เป็นน้ำมันเบนซินฐานของประเทศเป็นลำดับต่อไป” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานกล่าวทิ้งท้าย
ศาลจ้าวพ่อตาปะขาว ปากน้ำสิชล